
กาลเวลาได้ หมุนเวียนเปลี่ยน ไปเรื่อยๆ โดยที่แต่ละคนไม่สามารถเรียกร้องให้กลับคืนมาได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีการแปรปรวนไปในท่ามกลางและดับสลายไปในที่สุด เรียกว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ใน “วัฏสงสาร” ไม่มีใครหลีกหนีให้พ้นไปได้
พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า เราจึงควรทำความเข้าใจ ให้ความรู้ซึ่งกันและกัน อาศัยหลักเหตุและผลมาประกอบกันเพื่อจะให้เกิดสิ่งใดก็ตามขึ้นมาแล้วขอให้เป็นผลดีทั้งต่อตัวเรา ต่อผู้อื่น ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว
ในขณะเดียวกันจะต้องอาศัยหลักเหตุและผลเช่นเดียวกันที่จะป้องกันมิให้สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นมาในสังคมของเรา “ทางโลก” และ “ทางธรรม” จะขับเคลื่อนไปสู่ความเจริญก้าวหน้า...ความร่มเย็นเป็นสุขของคนในชาติ ดั่งเช่นพระจะต้องพึ่งชาวบ้านและชาวบ้านก็จะต้องพึ่งพาพระสงฆ์องค์เจ้าเช่นเดียวกัน

“การศึกษาถือว่าเป็นหัวใจอันสำคัญอย่างยิ่งของชาติ เด็ก...เยาวชนซึ่งเป็นลูกหลานของเราจะมีอนาคตที่ดีหรือมีอนาคตที่มืดมนล้วนอยู่ที่การศึกษา การที่เราจะให้ความรู้ความเข้าใจแก่อนาคตของชาตินอกจากจะเรียนรู้ตามตำราแล้ว ควรจะให้มีการเรียนรู้นอกตำราหรือนอกห้องเรียน นั่นคือการเรียนรู้ทางกายภาพ
สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัวพวกเขา หลักสูตรการเรียนรู้จะดีเลิศหรือประเสริฐเพียงใด แต่ชีวิตและความเป็นจริงของสังคมมิได้สอดคล้องกันแล้วก็อย่าหวังเลยว่าความสำเร็จทางการศึกษาจะเกิดขึ้นได้ นั่นคือการเรียนการสอนลูกหลานของเราดียิ่ง แต่...ชีวิตที่พวกเขาได้สัมผัสกลับกลายเป็นไปในทางตรงกันข้าม
พวกเขาได้พบเห็นแต่สิ่งที่ชั่วร้าย ผิดกฎหมายบ้านเมือง ผิดกติกาทางสังคม ผิดระเบียบประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของสังคม หนักที่สุดคือ...ผิดหลักคำสอนของศาสนา ที่ตนเองนับถือ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็อย่าหวังเลยว่า “การเปลี่ยนแปลงนี้จะนำไปสู่ความสุขและความเจริญ”
อาตมาจึงขอนำเสนอข้อคิดและให้สติเตือนใจของผู้ที่อยากจะเปลี่ยนแปลงได้ตระหนักก่อนที่จะสายเกินแก้ ดังนี้...ประการที่หนึ่ง การให้ความรู้เด็กนักเรียน นิสิต นักศึกษาหรือเด็กเยาวชนลูกหลานของสังคมเรา ความเป็นครูบาอาจารย์กับศิษย์ก็ควรจะมีอยู่เหมือนเดิม ให้ความสำคัญแก่บุคคลที่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์

นั่นคือ “ครู” ครูควรเป็นปูชนียบุคคลที่ลูกศิษย์ควรเคารพนับถือ ถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์อย่างเต็มที่ เต็มเม็ดเต็มหน่วย ขอจงเป็นครูด้วยจิตวิญญาณของความเป็นผู้ให้วิชาซึ่งควรมีดีทั้งวิชาและจรณะ นั่นคือมีวิชาความรู้ดีมีข้อวัตรปฏิบัติในชีวิตประจำวันที่ดีให้ลูกศิษย์ตนเองได้เลียนแบบนำไปใช้ในระยะยาว
ส่วนศิษย์เองก็ควรศึกษาหาความรู้และตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจากคุณครูอย่างเต็มที่ สุ จิ ปุ ลิ ก็ยังมีความจำเป็นและสำคัญอยู่ ถึงแม้ว่าจะย่างเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ไปแล้วก็ตาม พิธีไหว้ครูพิธีที่แสดงออกถึงความเคารพนบนอบในสถานศึกษาก็ยังควรจะมีต่อไป แต่ถ้ามีส่วนใดยังขาดตกบกพร่องก็ควรจะนำเข้าสู่ที่ประชุมปรึกษาหารือกันแล้วหาข้อยุติที่พบกันครึ่งทาง คนที่ทำการถ่ายทอดวิชาความรู้ที่ดำเนินมาแล้วค่อนชีวิตก็จะยังพบเห็นสิ่งที่ตนเองสัมผัสมาอยู่บ้าง ส่วนคนที่เริ่มใหม่และเกิดใหม่ที่อยากจะเปลี่ยนแปลงให้เกิดแต่สิ่งใหม่ๆแล้วก็อย่าได้คิดว่าสิ่งที่ใหม่ๆนี้จะดีเลิศเสมอไป อย่าคิด “ล้างไพ่” ทุกอย่างเสมอไป
“สังคมไทย” และ “การศึกษาไทย” จะต้องให้ความสำคัญระหว่าง “อาจารย์คือผู้สอน” และ “ลูกศิษย์คือผู้เรียนรู้” ให้เดินไปด้วยกันได้ อย่าให้กลายเป็นคนประเภท “ศิษย์ล้างครู” ก็แล้วกัน?

ประการที่สอง การคิดจะเปลี่ยนแปลงดึงสถานศึกษาออกนอกวัดทั้งๆที่อยู่ภายในวัดก็ไม่ควรเกิดขึ้น แต่การจะปรับปรุงหรือพัฒนาให้สถานศึกษาที่อยู่ภายในวัดนั้นๆดีขึ้นกว่าเดิม หรือมีคุณภาพยิ่งขึ้นก็เป็นสิ่งที่ควรดำเนินการอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะในเรื่องจัดสรรงบประมาณ จัดเพิ่มหาบุคลากรทางการศึกษาที่ดีมีคุณภาพ ฯลฯ
อีกทั้งจะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนา สร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม ขออย่าได้แยกบทบาทของศาสนาคือบทบาทของพระภิกษุที่เป็นผู้สอน “ธรรมะ” หรือ “ผู้สอนจริยธรรม”...จะเรียกให้สุภาพคือพระอาจารย์สอนธรรมะออกจากสถานศึกษา
บทบาทของพระภิกษุคือสอนธรรมะให้ความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมคำสอน
ปลูกฝังให้เด็กเยาวชนนักเรียนนิสิตนักศึกษาซึ่งเป็นลูกหลานของเราได้รับภูมิธรรมะฝังลึกไว้ในจิตใจ จะเป็นผลดีต่อทัศนคติการศึกษาเล่าเรียนและดำเนินชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า อย่างน้อยๆพวกเขาก็ได้เรียนรู้และรับรู้ว่า “สิ่งใดที่ดี สิ่งใดที่ชั่ว สิ่งใดที่ควรกระทำและสิ่งใดที่ไม่ควรกระทำ”
ย้ำว่า ลูกหลานของเราจะต้องได้รับการชี้แนะไว้ตั้งแต่วันนี้ เมื่อปลูกฝังไว้ดีแล้วโอกาสที่จะคิดชั่ว ทำชั่ว หรือพูดชั่วก็มีน้อยลงซึ่งจะเป็นผลดีต่อพวกเขา ขออย่าได้มองข้ามถึงบทบาทพระภิกษุที่เป็นผู้สอนธรรมะไป
“บ้าน” กับ “วัด” จะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันตลอดไป อย่าได้มองเห็นคุณค่าของวัดหรือพระภิกษุสงฆ์เพียงเวลานำศพไปบำเพ็ญกุศลทางศาสนาเท่านั้น นั่นคือบั้นปลายของชีวิต ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฟื้นคืนมาให้เกิดแต่สิ่งที่ดีได้นอกจากอยากจะ “ได้บุญ”

ประการที่สาม ประเพณีทางสังคมซึ่งขัดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ที่ได้กระทำกันมาผิดๆ อย่างเช่นจัดให้มีการลักลอบเล่นการพนัน “ในงานศพ” เพื่อญาติคนเสียชีวิตจะได้ไม่เงียบเหงาหรือวังเวง
“อบายมุขคือหนทางแห่งความเสื่อม” การพนันย่อมนำมาซึ่งความหายนะในชีวิตหน้าที่การงานการดำรงชีพอยู่ในสังคม เรามองเห็น “กงจักรเป็นดอกบัว” กันมากแล้ว สิ่งที่ไม่ดีเราก็ยังจะปลุกขึ้นมาให้มาเป็นปิศาจหลอกหลอนลูกหลานของเรา ยังจะมาสร้างตราบาปให้กับสังคมของเรา
“ขออย่าได้นับถือศาสนาเฉพาะเวลาจะทำบุญเท่านั้น ขอจงนับถือศาสนาตลอดเวลา สิ่งใดที่ดีและเป็นประโยชน์สอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนของศาสนาแล้ว ขอให้ช่วยกันปฏิบัติให้เกิดเห็นเป็นมรรคและเป็นผล เวลาเกิดปัญหาทางสังคมหนักขึ้นมาก็คิดอยากจะให้ศาสนาเข้ามาช่วยเหลือ จะให้ช่วยเหลือที่ถูกและได้ผล”
ฉะนั้นต้องเริ่มต้น “ร่วมกัน” ตั้งแต่วันนี้ ขอให้เราช่วยกันกำจัด “กิเลสคือสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองคือความโลภ ความโกรธ ความหลง”...การพนันเกิดขึ้นก็ล้วนมาจาก “กิเลส” ของมนุษย์นี่เอง
ประการที่สี่ การเพิ่มหรือส่งเสริมให้มีอบายมุข อาทิ การดื่มน้ำเมา การเที่ยวกลางคืน การเที่ยวดูการละเล่น การเล่นการพนัน ล้วนแต่จะนำมาซึ่งความล่มจมทางสังคม สังคมถูกมอมเมา

การเอาสีเทาหรือสีดำขึ้นมาให้ถูกต้องตามกฎหมาย จะได้จัดเก็บภาษีรายได้เข้าบำรุงรัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ผลเพราะ “ย่อมไม่มีความซื่อสัตย์อยู่ในวงการของการพนัน” เมื่อผู้คนติดการพนันงอมแงมแล้ว ไม่ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยสุจริตธรรม ก็จะเกิดความสับสนวุ่นวาย ลักขโมย ปล้นจี้ ฯลฯ
ประการที่ห้า การที่จะเปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งที่ดีให้กับสังคมและประเทศชาติ จะต้องหาหนทางหรือวางแนวทางให้ผู้คนในชาติขยันขันแข็งหมั่นเพียรพยายามประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ผิดกติกาทางสังคมและไม่ผิดหลักธรรมคำสอนของศาสนา
“ทั้งหมดเหล่านี้จึงขอให้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลง ทุกชีวิตไม่ต้องกลัวการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลงแล้วดีขอจงคิดและทำกันไปเถิด หากเปลี่ยนแปลงแล้วทำให้จิตใจของผู้คนเสื่อมโทรมลงไป ก่อให้เกิดปัญหาก็ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ใช้สติและปัญญาไตร่ตรองให้ดี”.